วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ยอดกวีเอกของไทย (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในสมัยของพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงประเทศสู่ความทันสมัยทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจสังคม และประเพณีวัฒนธรรมทรงส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ และ พ.ศ. ๒๔๐๔ กับจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓แห่งประเทศฝรั่งเศส
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในสมณเพศ ๒๗ ปี ทรงศึกษาวิชาการแขนงต่างๆ จนเชี่ยวชาญทั้งของไทยและวิชาการสมัยใหม่ของชาวยุโรปและอเมริกา ทรงพระปรีชาสามารถด้านภาษาอังกฤษ ภาษาละตินและวิชาดาราศาสตร์

 พระราชประวัติ

            พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกับปีชวด มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ขณะนั้นพระราชบิดายังดัารงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขะสมัยกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ เจ้าฟ้าจุธามณี ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

             เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถก็โปรดให้มีการพระราชพิธีลงสรง ( พ.ศ. 2355 ) เป็นครั้งแรกที่กระทําขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ ได้รับพระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณปัฎว่า " สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์พงศ์อิสรค์กษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร " สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2394 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" เรียกขานในหมู่ชาวต่างชาติว่า "คิงส์มงกุฎ" ขณะที่พระองค์ขึ้นเสวย สิริราชย์สมบัตินั้น พระชนมายุ 37 พรรษา

             เมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ( พระนามเดิมเจ้าฟ้าจุธามณีโอรสองค์ที่ 50 ของรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีฐานะเสมือนพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง


             การทํานุบํารุงบ้านเมือง

              การปกครอง ในรัชกาลนี้ ได้มีการปฎิรูปการปกครองเฉพาะในด้านประเพณีที่มีมาแต่เดิมๆ อย่างเช่น ปรับปรุงประเพณีการเข้าเฝ้า มีพระบรมราชโองการให้ทุกคนสวมเสื้อเข้าเฝ้า โปรดให้ราษฎรเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และถวายฎีการ้องทุกข์ทุกวันโกนเดือนละ 4 ครั้ง โดยพระองค์ท่านจะเสด็จออกมารับการร้องทุกข์นั้น

             กฎหมาย มีกฎหมายที่ออกในรัชกาลนี้มาก มีทั้งกฎหมายอาญาหลวง และมีประกาศเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน

             ศาล ยังมิได้มีการรวบรวมเป็นกระทรวงเดียวกัน แต่โปรดให้ตั้งศาลต่างประเทศระหว่างคนไทยกับต่างประเทศ และให้เกิดมีศาลกงศุลขึ้นเป็นครั้งแรก

             ทหาร โปรดให้มีการฝึกหัดทหารแบบยุโรป โดยจ้าง "ร้อยเอกอิมเปย์" นายทหารนอกราชการของกองทัพบกอังกฤษ ประจําประเทศอินเดียมาเป็นครูฝึก พ.ศ. 2394 ได้จัดกองทหารประจําพระองค์ออกเป็น 2 กอง คือ "กองทหารรักษาพระองค์" ปืนปลายหอกข้าหลวงเดิม และ "กองทหารหน้า"

             ทหารเรือ มีการสร้างเรือชนิดที่ใช้เครื่องจักรกลขึ้น และทรงตั้งกรมเรือกลไฟ

             ตํารวจ มีตํารวจพระนครบาลขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2404 การตัดถนนและขุดคลอง โปรดให้สร้างถนนขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2404 ถนนเจริญกรุงเป็นสายแรก

             การขุดคลอง มีการขุดคลอง เช่น คลองผดุงกรุงเกษม คลองภาษีเจริญ และคลองดําเนินสะดวก

             ศาสนา พระราชกรณียกิจที่สําคัญในการทํานุบํารุงพุทธศาสนา คือ ทรงให้กําเนิดธรรมยุติกนิกาย มีการสร้างพระอารามหลวง มี 5 พระอารามได้แก่ วัดบรมนิวาส วัดโสมนัสวิหาร วัดประทุมวนาราม วัดราชประดิษฐ์สถิตย์มหาสีมาราม วัดมกุฎกษัตริยาราม

             วรรณคดี และกวี

พระราชนิพนธ์ที่สําคัญ

1. ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
2. บทระบํา
3. บทละครเรื่องรามเกียรติ์
4. บทเบิกโรงละครหลวง
5. โคลงพระราชทานพร
6. จารึกวัดราชประดิษฐ์
7. ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย หมวดภาษา และวรรณคดี

กวีในรัชสมัย เช่น พระยาอิศรานุภาพ หม่อมราโชทัย คุณสุวรรณ

             ศิลปกรรม
 สถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่เป็นแบบตะวันตก เช่น พระราชวังสราญรมย์
จิตรกรรม มีปรากฎอยู่ในพระอุโบสถ และพระวิหารวัดบวรนิเวศน์
ปฎิมากรรม มีการหล่อพระพุทธรูป
           การศึกษา โปรดจ้างแหม่มเลียวโนเวนส์ มาจากสิงคโปร์ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง และพระราชโอรสพระราชธิดา ด้วยทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไปภายหน้า

             การติดต่อกับต่างประเทศ

         ในรัชกาลนี้ มีการติดต่อกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง มีการทําสนธิสัญญากับนานาประเทศ เริ่มด้วยรัฐบาลอังกฤษได้ส่ง เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เจ้าเมืองฮ่องกงในขณะนั้นเป็นอัครราชทูต อัญเชิญพระราชสาส์นของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการเข้ามาขอเจรจาทําสนธิสัญญาทางไมตรีมาทางเรือรบ สนธิสัญญาที่ทําขึ้นมีผลที่สําคัญบังเกิดขึ้นคือ ก่อให้เกิดสิทธิภาพนอกอาณาเขต และอนุญาตให้คนในบังคับอังกฤษสามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทย

             การทูตของไทย พ.ศ. 2400 พระองค์ทรงโปรดให้พระยามนตรีสุริยวงศ์ ( ชุ่ม ) เป็นอัครราชทูต อัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ณ ประเทศอังกฤษ

             ไทยเสียเขมร ต่อเนื่องมาจากฝรั่งเศสครองญวนได้แล้ว จึงมาบังคับเขมรโดยอ้างว่าเขมรเคยเป็นเมืองขึ้นของญวนมาก่อน สมเด็จพระนโรดมกษัตริย์ของเขมร ขณะนั้น ยินยอมทําสัญญาลับยอมอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2406 และได้ส่งหนังสือมากราบบังคมทูลว่า ที่ยอมฝั่งเศสนั้นเพราะถูกบังคับ และต่อมา วันที่ 15 กรกฎาคม 2410 ไทยได้ลงนามในสนธิสัญญายกกัมพูชาให้ฝรั่งเศส

ศึกเมืองเชียงตุงการตีเมืองเชียงตุงนี้ ค้างมาตั้งแต่ปลายรัชกาล ที่ 3 แต่ตีไม่สําเร็จ

             เสด็จสวรรคต

            พ.ศ. 2411 พระองค์ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่ตําบลหว้ากอจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตามที่พระองค์ทรงทํานายเอาไว้ว่า จะเกิดในวันขึ้น 1 คํ่า เดือน 10 พ.ศ. 2411 หลังจากที่กลับมาแล้วก็ทรงประชวรหนัก และได้เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2411 พระชนมายุได้ 65 พรรษา เสวยราชสมบัติได้ 17 ปี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 82 พระองค์

             พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๔

เป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ในกรอบรูปกลมรี เป็นพระราช
สัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย ว่า "มงกุฎ" มีฉัตรตั้ง
ขนาบพระ มหาพิชัยมงกุฎทั้งสองข้าง มีพาน ทองสองชั้น
วางแว่นสุริยกาลหรือ เพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง
พระแว่นสุริยกาลหรือเพชร มาจาก ฉายาเมื่อทรงผนวชว่า
"วชิรญาณ" ส่วนสมุดตำรามาจากการที่ได้ทรง ศึกษาและ
มีความเชี่ยวชาญในด้าน อักษรศาสตร์และดาราศาสตร์

ที่มา : ประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วีดีโอประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ยอดกวีเอกของไทย (หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา))


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา)

หม่อมราโชทัย
(ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา)
(พ.ศ. ๒๓๖๒-๒๔๑๐)

หม่อมราโชทัย เกิดในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นกวีไทยคนแรกที่จัดเจนภาษาอังกฤษ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับหน้าที่เป็นล่ามหลวงในคณะราชทูตไทย เมื่อคราวพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ได้เป็นราชทูตอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระราชินีวิกตอเรีน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๐ หลังกลับมาได้แต่งจดหมายเหตุราชทูตไทยไปลอนดอนและนิราศลอนดอน เล่าเรื่องประสบการณ์การเดินทางไปต่างแดน หม่อมราโชทัยเป็นกวีคนแรกและครั้งแรกในประวัติการพิมพ์ของไทยที่ขายลิขสิทธิ์ โดยขายนิราศลอนดอนให้แก่หมอบรัดเลจัดพิมพ์เผยแพร่

ประวัติหม่อมราโชทัย

หม่อมราโชทัย นามเดิม หม่อมราชวงค์กระต่าย อิศรางกูร เป็นบุตรของกรมหมื่นเทวานุรักษ์พระราชินีในรัชกาลที่ ๒ เป็นปนัดดาของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งเป็นพระพี่นางในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
หม่อมราชวงศ์กระต่ายเกิดเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๖๓ เมื่อเจริญวัยบิดาได้นำไปถวายตัวอยู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังดำรงพนะอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์พงศาอิศวรกระษัตริย์ขัตติยราชกุมาร หม่อมราชวงค์กระต่ายได้อยู่รับใช้ในพระองค์ท่านตลอดมาด้วยเป็นญาติใกล้ชิดทางพระราชมารดาในเจ้าฟ้ามงกุฎ
เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชมีฉายาว่า “ วชิรญาณ ” หม่อมราชวงค์กระต่ายก็ได้ตามเสด็จไปอยู่รับใช้โดยตลอด ครั้นเมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงสนพระราชหฤทัยในการศึกษาภาษาอังกฤษ หม่อมราชวงค์กระต่ายก็ได้ศึกษาตามพระราชนิยม โดยได้ศึกษากับพวกหมอสอนศาสนามิชชันนารีจนมีความรู้ภาษาอังกฤษดี เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๔ หม่อมราชวงค์กระต่ายก็ได้ติดตามสมัครเข้ารับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณและด้วยความสามารถทางการใช้ภาษาอังกฤษ จึงได้เลื่อนยศเป็น “ หม่อมราโชทัย ”
เมื่อมีพระราชดำริให้จัดส่งราชทูตเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปอังกฤษ ก็ได้ให้ หม่อมราโชทัย ไปเป็นล่าม ภายหลังกลับมาแล้วก็ทรงโปรดเกล้าให้เป็น อธิบดีพิพากษาศาลต่างประเทศเป็นคนแรก.
                หม่อมราโชทัยถึงแก่อานิจกรรมเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๑๐ เมื่ออายุได้ ๔๓ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าให้จัดการรับพระราชทานเพลิง ณ เมรุวัดอรุณราชวราราม เมื่อ วันที่๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๑๐ .
คณะราชทูตไปเจริญไมตรีกับอังกฤษ หม่อมราโชทัย ล่ามหลวง “นิราศลอนดอน”
ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ เจ้าพระยาทิพยากรวงศ์ ได้เขียนถึงพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่ง...
             “พระนครก็สมบูรณ์มั่งคั่งด้วยสมบัติ ลูกค้าวานิชมาตั้งห้างค้าขาย สิ่งของต่างๆที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ของที่ไม่เคยมีก็มีขึ้น และลูกค้านานาประเทศเข้ามาซื้อสินค้าออกไปปีหนึ่งถึง ๓๐๐ ลำ บางปีก็มีถึง ๔๐๐ ลำ ราษฎรก็ได้ขายข้าวแก่ลูกค้านานาประเทศ จำนวนข้าวออกในปีหนึ่งถึง ๘๐,๐๐๐ เกวียน...ราษฎรก็ได้มั่งมีเงินทองขึ้นทุกแห่งทุกตำบล...”
             รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งให้ เซอร์จอห์น บาวริ่ง ผู้สำเร็จราชการเกาะฮ่องกงแห่งอังกฤษ เป็นผู้อัญเชิญพระราชสาส์น สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ เพื่อเจริญพระราชไมตรีกับสยามประเทศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๗
             รัชกาลที่ ๔ ทรงต้อนรับ เซอร์จอห์น บาวริ่ง อย่างสมเกียรติ ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย เมื่อท่านเซอร์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ปี พ.ศ.๒๓๙๘ ได้บันทึกถึงพระราชไมตรีระหว่าง ๒ ประเทศ ได้ทูลเกล้าฯ หนังสือเล่มนี้ถวายรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงสยาม นามประเทืองว่าเมืองทอง...
             “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งตะวันออก ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ตามกาลสมัยและตามความรู้ซึ้งถึงสถานการณ์จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทั้งพระองค์ทรงฝักใฝ่ในวรรณคดี และปรัชญาตะวันตก จะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยากมาก พระองค์ทรงพระมหากรุณาธิคุณแก่ เซอร์จอห์น บาวริ่ง อย่างสมเกียรติ...สยามประเทศจะได้เจริญก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์พูนผลและมิตรไมตรีกับนานาประเทศ ซึ่งจะเจริญด้วยอารยธรรม...”
             รัชกาลที่ ๔ ทรงพระปรีชาสามารถวิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่ทรงจำพรรษา ณ วัดราชาธิวาส ทรงสนพระทัยภาษาสากลได้ดีมาก ทรงใช้ถ้อยสำนวนในพระราชนิพนธ์เป็นอย่างดี เป็นที่กล่าวขวัญกันในประเทศยุโรป... “พระเจ้าแผ่นดินทางตะวันออกพระองค์เดียวที่ทรงพระปรีชาภูมิปัญญาทางภาษาอังกฤษในสมัยนั้น...”
             พระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปถวาย สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ทรงยกย่องประเทศอังกฤษเจริญระดับโลก... “พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” เป็นที่ประทับพระทัยยิ่งนัก และแล้วอังกฤษเป็นชาติแรกรับสนองพระราชดำริ การเจริญสัมพันธไมตรีด้วยดี สุดจะรำพัน
             ประเทศอังกฤษได้จัดส่งเรือกำปั่นมายังสยามประเทศ เพื่อต้อนรับคณะราชทูตไทยไปเจริญไมตรีกับอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ พระสยามนตรีสุริยวงศ์ เป็นราชทูต และเจ้าพนักงานกำกับดูแลพระราชบรรณาการ พระราชสาส์น โดย หม่อมราโชทัย เป็นล่ามหลวง พร้อมคณะราชทูต เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าวิคเตอรีย อย่างสมพระเกียรติ
             ก่อนคณะราชทูตไทยจะกลับพระนคร ทรงรับสั่งให้จัดซื้ออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น...กล้องจุลทรรศน์ กล้องถ่ายรูป เครื่องมือการคำนวณ แท่นพิมพ์ ฯลฯ ทั้งนี้ตามพระราชประสงค์ทุกประการ
             หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร) ล่ามหลวงผู้มีพรสวรรค์แต่ง “นิราศลอนดอน” และจดหมายเหตุประสบความสำเร็จ ทางราชการได้จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลัง และเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยดีในรัชกาลที่ ๔ ทั้งนี้ โดยหมอบรัดเลย์ พิมพ์จำหน่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๒ ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๐๘
“นิราศลอนดอน” และจดหมายเหตุ โดยหม่อมราโชทัย หนังสือดี มีคุณค่า ที่น่าอ่าน จากนั้นจนบัดนี้...ขออนุญาตเปิดฉาก “นิราศลอนดอน” อาหารสมองและอาหารใจ...
“นิราศเรื่องเมืองลอนดอนอาวรณ์ถวิล
จำจากมิตรขนิษฐายุพาพิณ เพียงจะสิ้นชีวาด้วยอาลัย
ถ้าแม้นผิดมิใช่กิจนรินทร์ราช ไม่คลาคลาดคลายชิดพิสมัย
โดยภักดีมีประสงค์จำนงใน อาสาไทจอมจักรหลักนคร
มะเส็งศุกร์เดือนเก้าขึ้นสามค่ำ แสนระกำด้วยจะไปไกลสมร
เข้าชิดโฉมโลมลาพงางอน กล่าวสุนทรปลอบน้องอย่าหมองนวล
คอยอยู่เถิดนงเยาว์ลำเพาพักตร์ จะร้างรักแรมชมภิรมย์สงวน
ใช่แกล้งหน่ายแหนงขวัญใจรัญจวน อย่าคร่ำครวญโศกสร้อยน้อยฤทัย.”
กวีเอก “หม่อมราโชทัย” ปิดฉากด้วยลีลากวีนิราศ เชิญชวนอ่าน...
“มิใช่แกล้งแต่งคารมด้วยคมปาก มาถางถากทำให้ฤทัยหมอง
การที่ว่าเห็นไม่งามตามทำนอง อย่าขัดข้องหมองหมางระคางทรวง
แม้นผู้ใดจะใคร่ซื้อหนังสือบ้าง เชิญไปห้างปากช่องคลองบางหลวง
มีกฎหมายสำหรับความตามกระทรวง ฉบับหลวงตีตามเนื้อความไทย
เชิญไปดูจะได้รู้หลายชนิด หรือจะจ้างช่างปิดใบปกใหม่
ไม่แพงมากเกินราคาระอาใจ เชิญท่านไปชมบ้างที่ห้างเอย”


ยอดกวีเอกของไทย (พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร))

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

พระยาศรีสุนทรโวหาร
(น้อย อาจารยางกูร)
(พ.ศ. ๒๓๖๕-๒๔๓๔)

พระยาศรีสุนทรโวหาร เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๒ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้บวชเป็นสามเณรและพระภิกษุที่วัดสระเกศ ท่านสอบได้เปรียญเอก เป็นผู้มีความแตกฉานในวิชาภาษาไทยเป็นอย่างมาก ต่อมาลาสิกขา เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กในหน้าที่เกี่ยวกับหนังสือไทยและขอม ท่านได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ตามลำดับจนสุดท้ายได้เป็นพระยาศรีสุนทรโวหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ ท่านเคยเป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรไทยแก่พระเจ้าลูกยาเธอ เป็นเจ้ากรมพระอาลักษณ์ เป็นองค์มนตรีในการประชุมปรึกษาราชการแผ่นดิน
งานเขียนที่สำคัญ คือ แบบสอนหนังสือภาษาไทย ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๕ เล่ม ได้แก่ ๑.มูลบทบรรพกิจ ๒.วาหะนิติ์นิกร ๓.อักษรประโยค ๔.สังโยคพิธาน๕.พิศาลการันต์ ซึ่งแบบสอนหนังสือภาษาไทยทั้ง ๕ เล่มนี้จัดว่าเป็นหนังสือเรียนอย่างเป็นทางการชุดแรกของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวงในพระบรมมหาราชวัง๒,๐๐๐ ฉบับ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ และยังมีพรรณพฤกษาและสัตวาภิธานเป็นหนังสือรวบรวมชื่อต้นไม้และชื่อสัตว์ต่างๆ คำนมัสการคุณานุคุณเป็นหนังสือบทสวดสำหรับนักเรียนและประชาชนทั่วไป

ประวัติพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)

  พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) (๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๕-๑๖ ตุลาคมพ.ศ. ๒๔๓๔) เป็นชาวฉะเชิงเทรา ท่านได้รับสมญาว่าเป็นศาลฎีกาภาษาไทย เป็นผู้แต่งตำราเรียนชุดแรกของไทย เรียกว่า "แบบเรียนหลวง" ใช้สอนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และหนังสือกวีนิพนธ์ที่มีคุณค่าอีกหลายเรื่อง งานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง คือท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น แม่กองตรวจโคลงบรรยายประกอบรูปภาพเรื่อง "รามเกียรติ์" รอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ ๑๐๐ ปี และตัวท่านเองก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้แต่งด้วยท่านหนึ่ง

ประวัติความเป็นมาของเว็บไซต์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
      ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้มีกลุ่มคณะ ครูอาจารย์ และบรรดาศิษย์ของโรงเรียนดัดดรุณีจังหวัดฉะเชิงเทรา และโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีความเห็นพ้องกันว่า พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทราและของประเทศ สมควรเชิดชูเกียรติท่านให้เป็นที่แพร่หลาย โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเสนอให้ท่านเป็นบุคคลที่มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาหนังสือไทย และเป็นกวีปราชญ์ของชาติไทย ต่อมาได้มีบุคคลหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมดำเนินงาน และได้จัดตั้งเป็นกลุ่มเชิดชูเกียรติพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) โดยมีคุณครูสอิ้ง กานยะคามินเป็นประธานกลุ่ม
     ได้เริ่มดำเนินการสืบค้น รวบรวมเรียบเรียงประวัติและผลงานของท่านใหม่ รวบรวมเอกสารผลงานของท่าน พร้อมทั้งหาสถานที่ใช้เป็นหอเชิดชูเกียรติ ฯได้รับความเห็นชอบจากผู้ช่วยศาสตราจารย์เอนก เทพสุภรณ์กุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ในสมัยนั้น ให้ใช้สถานที่บริเวณชั้น ๓ อาคารราชนครินทร์ เป็นที่ตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)      ในการดำเนินงานได้ประมาณค่าใช้จ่ายครุภัณฑ์อุปกรณ์ต่าง ๆ ประมาณ ๑,๕๑๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะได้รับจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ และเงินบริจาคที่คณะทำงานจะดำเนินการขอรับบริจาค แต่ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้จัดสัญจรมาที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะใช้จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นศูนย์กลางข้อมูลภาคตะวันนอก และกำหนดให้มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์เป็นศูนย์กลาง ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยขอเปลี่ยนแปลงสถานที่ในการจัดทำหอเชิดชูเกียรติฯ คณะเชิดชูเกียรติฯ เห็นพ้องว่าควรหาสถานที่ใหม่
     ต่อมานายวีระชัย ตนานนท์ชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ได้อนุญาตให้ใช้ห้องมุขชั้นบนสุดของอาคารสร้างใหม่ของโรงเรียนเป็นหอเชิดชูเกียรติฯได้ แต่สถานที่ก็ยังไม่เหมาะสม
     ในระหว่างรวบรวมข้อมูลประวัติและติดตามรวบรวมเอกสารผลงานของท่าน มีการสืบค้นทายาทของตระกูลอาจารยางกูร ได้พบว่านายอัมรินทร์ คอมันตร์ บิดาของนายอรรถดา คอมันตร์ เป็นสายตระกูลจากคุณหญิงเล็ก คอมันตร์ ภรรยาคนแรกของพระยาพิพากษาสัตยาธิปไตย (โป๋ คอมันตร์) บุตรหญิงคนสุดท้องของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
     นายอัมรินทร์ คอมันตร์ ต้องการหาสถานที่ถาวรเป็นเอกเทศในการจัดตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จึงสรรหาที่ดิน และบ้านเรือนไม้ทรงโบราณเพื่อนำมาดัดแปลงและประยุกต์เป็นอาคารหอจดหมายเหตุฯ โดยมีเป้าหมายที่บ้านอินทราสา ซึ่งตั้งอยู่หลังอนุสาวรีย์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่บ้านหลังนี้การจัดการมรดกทรัพย์สินยังอยู่ในระหว่างชั้นศาล
     คณะเชิดชูเกียรติพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) ได้ดำเนินการต่อโดยขอใช้ที่ดินของราชพัสดุกรมธนารักษ์ในบริเวณวัดโสธรวรารามวรวิหาร แต่ไม่มีที่ดินว่าง ในที่สุดโครงการนี้จึงได้ยุติลงในปี พ.ศ. ๒๕๕๗
     ในปี พ.ศ ๒๕๕๙ ชมรมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา โดยนายสมบูรณ์ เผ่าบรรจง ประธานชมรมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา ให้สมาชิกเสนอโครงการร่วมฉลองครบรอบ ๑๐๐ปี แห่งการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มี ดร.วรางภรณ์ ไตรติลานันท์ และสมาชิกกลุ่มเชิดชูเกียรติพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อยอาจารยางกูร) ได้เสนอโครงการเชิดชูเกียรติพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) ซึ่งท่านเป็นบุคคลสำคัญทางการศึกษาของไทย และเป็นชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มีชื่อปรากฏในคำขวัญของจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย ที่ประชุมมีมติรับที่จะสืบสานโครงการนี้มาดำเนินการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะบุคคลกลุ่มเชิดชูเกียรติ พระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) ให้เป็นผลงานของชมรมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา
     ต่อมาชมรมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา ได้จดทะเบียนเป็นสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา และได้พยายามหาสถานที่จัดตั้งหอจดหมายเหตุ และพิพิธภัณฑ์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่ยังไม่สามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมได้ นายสมบูรณ์ เผ่าบรรจง นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา ได้เริ่มแนวความคิดใหม่เพราะเห็นว่ามีเอกสารทั้งประวัติและผลงานของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) มากมายที่สมควรนำมาเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และจะก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับบุคคลที่สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา จึงนำเสนอความคิดให้สร้างเว็บไซต์ เพราะสมาคมฯ มีบุคคลากรที่พร้อมจะดำเนินการทั้งในด้านเทคโนโลยี ด้านข้อมูลและเอกสาร จึงมอบหมายให้ นางสาวชลธิชา นิลพัทธ์ รับผิดชอบด้านเทคโนโลยี นางพรพรรณ นินนาท เป็นผู้ประสานงาน และมีประกาศแต่งตั้งกองบรรณาธิการจัดทำเว็บไซต์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยมีนายสมบูรณ์ เผ่าบรรจง นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา แ     ละนางพรพรรณ นินนาท เลขาธิการสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉะเชิงเทรา เป็นบรรณาธิการอำนวยการ แต่งตั้งคณะบรรณาธิการที่ปรึกษาและแต่งตั้งกองบรรณาธิการเป็นคณะทำงาน มีผู้ช่วยศาสตราจารย์พรเลขา ตุลารักษ์ เป็นประธานกองบรรณาธิการ
     คณะทำงานโครงการทั้งหมดได้ช่วยกันขับเคลื่อนงานด้วยการสืบสานปณิธานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกัน และเชิญบุคคลภายนอกจำนวนมากมาให้คำปรึกษาด้านข้อมูลต่างๆ มีการสืบค้นข้อมูลนอกสถานที่ ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดมหาวิทยาลัยศิลปากร หอสมุดมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หอจดหมายเหตุแห่งชาติ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร สำนักพิมพ์ต้นฉบับและสถานที่อื่น ๆ อีกทั้งติดต่อขออนุญาตสำนักพิมพ์และส่วนงานอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลเพื่อบรรจุในเว็บไซต์ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ในรูปแบบ E-Book ให้มีความถูกต้อง แม่นยำ สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะสืบค้นได้ในปัจจุบัน และหวังที่จะเผยแพร่ประวัติและผลงานของท่านออกไปอย่างกว้างขวางอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไปและประเทศชาติทั้งในปัจจุบันและอนาคตสืบไป

ที่มา : ประวัติพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ยอดกวีเอกของไทย (สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส



สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๓๓-๒๓๙๖)

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมประปรมานุชิตชิโนรสทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระนามเดิม คือ พระองค์เจ้าวาสุกร ประสูติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ ทรงผนวชตั้งแต่พระชมมายุได้ ๑๒ พรรษา พระองค์อยู่ในเพศบรรพชิตตลอดพระชนมายุได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสังฆปริณายกอันเป็นตำแหน่งสูงสุดในศาสนาจักร สิ้นพระชนม์ในปลายรัชกาลที่ ๔ พระอัฐิของพระองค์ประดิษฐานไว้ ณ ตำหนักวาสุกรี วัดพระเชตุพนฯ
พระนิพนธ์ของพระองค์ ได้แก่ ลิลิตตะเลงพ่าย ปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทศพร หิมพานต์มหาราช ฉกษัตริย นครกัณฑ์ กฤษณา สอนน้องคำฉันท์ สรรพสิทธิคำฉันท์ ตำราฉันท์วรรณพฤติและมาตราพฤติ ร่ายทำขวัญนาคหลวงฉันท์กล่อมช้างพังและกาพย์ขับไม้ กล่อมช้างพังในคำฉันท์ดุษฎีสังเวย สมุทรโฆษณาคำฉันท์ (ตอนปลาย) ซึ่งคำฉันท์เรื่องนี้แต่งค้างมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์จนจบเรื่อง

ประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑ ) อันเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระมารดา คือ เจ้าจอมมารดาจุ้ย พระสนมโท ต่อมาได้เลื่อนเป็น “ท้าวทรงกันดาล” เป็นตำแหน่งผู้รักษาการคลังใน เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓ ) ทรงประสูติเมื่อ วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๕ ค่ำ ปีจอ จุลศักราช ๑๑๕๒ ตรงกับวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ และมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าชาย วาสุกรี
สำหรับพระราชบิดาของพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นั้น ทรงมีพระนามเดิมว่า ทองด้วง ประสูติที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อทรงเจริญพระชันษาได้เข้ารับราชการ ทรงเป็นกำลังสำคัญของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในการกู้บ้านเมือง จนได้เลื่อนยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และต่อมาได้ทรงสถาปนาพระราชวงศ์ขึ้นใหม่และตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.๒๓๒๕ นับเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงครองราชย์เป็นเวลา ๒๗ ปี และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนี้นอกจากจะทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้าสามารถแล้ว ยังทรงเป็นกวีและนักปราชญ์อีกด้วย

การศึกษา
สามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงเป็นศิษย์ในสำนักสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ผู้เป็นนักปราชญ์ล้ำลึกและมั่นคงเคร่งครัดในพระธรรมวินัย สมเด็จพระพนรัตน์องค์นี้เกิดในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กรุงศรีอยุธยา เคยเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมเจดีย์ ในสมัยกรุงธนบุรี ได้รับมอบหมายให้ไปจัดการสังฆมณฑลฝ่ายเหนือที่พิษณุโลก และได้เลื่อนเป็นที่พระพิมลธรรม แต่ต้องโทษในปลายรัชกาล เนื่องจากยึดมั่นในพระธรรมวินัย ไม่โอนอ่อนผ่อนตามพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาในรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นสมเด็จพระพนรัตน์ ครองวัดพระเชตุพนฯ และได้เป็นพระอาจารย์ของสามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ได้ถ่ายทอดพระธรรมวินัยและความรู้ทางด้านภาษาไทย และภาษามคธ บาลี โบราณคดี โหราศาสตร์ และเวทมนตร์ ตลอดทั้งวิธีลงเลขยันต์ต่างๆ สมเด็จพระพนรัตน์องค์นี้เป็นผู้อ่านประกาศเทวดา และเป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎกในรัชกาลที่ ๑ นอกจากนี้ได้นิพนธ์หนังสือภาษาบาลีไว้หลายเรื่อง และมีชื่อเสียงโด่งดังในการเทศน์มหาชาติ กัณฑ์ “นครกัณฑ์” ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ของท่านก็ได้สืบทอดกันต่อๆ มาหลายรัชกาล
สามเณรพระองค์วาสุกรีได้ทรงศึกษาอย่างใกล้ชิดกับพระอาจารย์ ทรงได้รับการถ่ายทอดวิทยาการไว้ทั้งหมด รวมทั้งได้รับมอบตำรับตำราพิชัยสงคราม โหราศาสตร์ เวทมนตร์ และพระธรรมวินัยไว้ด้วยจึงทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญแตกฉาน นับได้ว่าเป็นนักปราชญ์ที่ล้ำลึกของยุคต้นรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ และได้มีการเชิญอัฐิของสมเด็จพระพนรัตน์มาบรรจุไว้ในสถูปในบริเวณตำหนักของสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส มีโคลงจารึกเป็นเกียรติไว้ว่า

       ๏ สถูปเสถียรธาตุไท้          ธิบดี สงฆ์แฮ
 วันรัตน์เจ้าจอมชี                     ชื่ออ้าง
 ปรากฏเกียรติมุนี                     เสนอโลกย ไว้เอย
 องค์อดิศวรสร้าง                    สืบหล้าแหล่งเฉลิม ๚

ผนวชเป็นสามเณร
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๕ ในรัชกาลที่ ๑ กรมพระราชวังหลัง (เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ ๑ ) ได้เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ ได้มีเจ้านายตามเสด็จออกผนวชเป็นสามเณร เป็นหางนาคหลวง ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าชายวาสุกรี กับ พระองค์เจ้าชายฉัตร (กรมหมื่นสุรินทรรักษ์)

ผนวชเป็นพระภิกษุ
สามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ประทับจำพรรษาและศึกษาอยู่ในวัดพระเชตุพนฯ จนสิ้นรัชกาลที่ ๑ ขณะนั้นพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา ก็ไม่ทรงสึก เนื่องจากอายุยังไม่ครบผนวชเป็นพระภิกษุจึงทรงเป็นสามเณรต่อไป จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ ) จึงได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปีมะแม พ.ศ.๒๓๕๔ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “สุวัณณรังษี” เป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์
พระองค์เจ้าพระ “สุวัณณรังษี” ทรงผนวชอยู่ได้ ๓ พรรษา สมเด็จพระพนรัตน์อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ก็ถึงแก่มรณภาพ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ ) เสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระเชตุพนฯ พระองค์โปรดแต่งตั้งให้พระองค์เจ้าพระ “สุวัณณรังษี” เป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์ วัดพระเชตุพนฯ

พระอิสริยยศและสมณศักดิ์
ทรงได้รับเลื่อนเป็นเจ้าต่างกรมครั้งแรก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ ) เป็น “กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์” และดำรงพระยศนี้อยู่จนสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓ )
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔ ) เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศเลื่อน ”กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์” ให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ณ วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน จุลศักราช ๑๒๑๓ (พ.ศ.๒๓๙๔) และได้เลื่อนเป็น
“กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์ บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถ ปฐมพันธุมหาราชวรังกูร ปรเมนทรนเรนทรสูรสัมมานาภิสักกาโรดมสถาน อริยสมศีลาจารพิเศษมหาวิมล มงคลธรรมเจดีย์ยุตมุตวาที สุวีรมนุญ อดุลยคุณคุณาธาร มโหฬารเมตตยาภิธยาศรัย ไตรปิฎกกลาโกศล เบญจปดลเศวตฉัตร สิริรัตโนปลักษณ มหาสมนุตตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤษฐสมณศักดิ์ธำรง มหาสงฆปริณายก พุทธสาสนดิลกโลกุตตมมหาบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฎิภาณ ไวยัติญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนตรัยคุณารักษ์ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาทิโลกยปฎิพันธ พุทธบริษัทเนตร สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกขประธานวโรดม บรมนาถบพิตร”

พระเกียรติคุณประกาศ
ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ องค์การยูเนสโกได้มีมติรับข้อเสนอของคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๒๕ ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก
องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศรายชื่อบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ - ๒๕๓๔ และถวายพระเกียรติคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในฐานะ ปูชนียบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ ตามมติที่ประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๕ ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๗ ตุลาคม – ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และชักชวนให้ประเทศสมาชิกร่วมจัดกิจกรรมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันประสูติครบ ๒๐๐ ปี วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๓

ผลงานด้านวรรณกรรม
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมากทั้งบทร้อยกรองและร้อยแก้ว สมพระเกียรติที่เป็น “รัตนกวี” ของชาติ วรรณกรรมของพระองค์ นับว่าเป็นสมบัติที่ประมาณค่ามิได้ พระนิพนธ์ต่างๆ มีดังนี้

โคลง

(๑) โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ
(๒) ลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารคและชลมารค
(๓) ลิลิตตะเลงพ่าย
(๔) โคลงภาพฤาษีดัดตน
(๕) โคลงภาพคนต่างภาษา
(๖) โคลงกลบท
(๗) โคลงบาทกุญชร และวิวิธมาลี
(๘) โคลงจารึกศาลาหน้าพระมหาเจดีย์ ๒ หลัง
(๙) โคลงจารึกศาลาราย ๑๖ หลัง
(๑๐) ร่ายและโคลงบานแพนก

ฉันท์

(๑) กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
(๒) สมุทรโฆษคำฉันท์ ตอนปลาย
(๓) ตำราฉันท์มาตรพฤติและวรรณพฤติ
(๔) สรรพสิทธิคำฉันท์
(๕) ฉันท์สังเวยกล่อมวินิจฉัยเภรี
(๖) จักรทีปนีตำราโหราศาสตร์
(๗) ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างพัง

ร่ายยาว

(๑) มหาเวสสันดรชาดก (เว้นกัณฑ์ชูชกและมหาพน)
(๒) ปฐมสมโพธิกถา
(๓) ทำขวัญนาคหลวง
(๔) ประกาศบรมราชาภิเศก รัชกาลที่ ๔

กลอน

(๑) เพลงยาวเจ้าพระความเรียง
(๑) พระธรรมเทศนาพระราชพงศาวดารสังเขป
(๒) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับความสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เล่ม ๑–๒

ภาษาบาลี
(๑) ปฐมสมโพธิกถาฉบับภาษาบาลี มีต้นฉบับอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ เป็นพระคัมภีร์ใบลานจำนวน ๓๐ ผูก ผูกละประมาณ ๒๔ หน้า เมื่อปริวรรตเป็นอักษรไทยและแปลออกมาแล้วจะเป็นหนังสือหนาประมาณ ๒,๑๖๐ หน้า หรือประมาณ ๒๗๐ ยก ซึ่งเป็นหนังสือพระพุทธประวัติฉบับที่มีขนาดหนาที่สุดในโลก

สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสฯ ทรงมีพระชนมายุอยู่ในรัชกาลที่ ๔ เพียง ๒ พรรษา ก็ประชวรด้วยพระโรคชรา และสิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ เวลาบ่าย ๓ โมง ตรงกับวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖ สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๔ พรรษา

เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวงแล้ว รัชกาลที่ ๔ โปรดให้มีตำแหน่งพระครูฐานานุกรม ประจำสำหรับรักษาพระอัฐิ ถึงเวลาเข้าพรรษาก็เสด็จพระราชดำเนินไปถวายพุ่มบูชาพระอัฐิทุกปี และถึงวันเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน วัดพระเชตุพนฯ ก็โปรดให้อัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานในอุโบสถ ทรงสักการบูชาแล้วทอดผ้าไตร ให้พระฐานานุกรมสดับปกรณ์พระอัฐิเป็นประเพณีตลอดมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกาศสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสขึ้นเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส” เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔

ที่มา : ประวัติและผลงานสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส

วีดีโอประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส

ยอดกวีเอกของไทย (พระบาทสมเด็จพระนั่งเล้าเจ้าอยู่หัว)


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔)

พระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๖ ในสมัยของพรองค์เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอย่างกว้างขวาง การค้าขายกับประเทศใกล้เคียงโดยเฉพาะจีนได้ผลกำไรมาก นับเป็นรายได้หลักของประเทศ ทรงทำนุบำรุงศาสนาและศิลปกรรม
บทพระราชนิพนธ์ เช่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างขอนางพิม และตอนขุนช้างตามนางวันทอง บทละครนอกเรื่องสังค์ศิลป์ชัย เพลงยาวกลบท โคลงภาพฤๅษีดัดตน (จารึก ณ วัดพระเชตุพนฯ) เพลงยาวปลงสังขาร โคลงยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยเรื่องหลังพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 2 ไว้หลายประการจึงเป็นวรรณคดีที่มีคุณค่าในทางบันทึกโบราณราชประเพณีและประวัติศาสตร์

ประวัติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าชายทับ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในเจ้าจอมมารดาเรียม ภายหลังดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระศรีสุราลัย พระบรมราชินี พันปีหลวง ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ณ พระราชวังเดิม 
เมื่อปี พ.ศ.2349 พระราชบิดาทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระมหาอุปราชกรมบวรสถานมงคล จึงได้รับเลื่อนพระยศตามพระราชบิดาขึ้นเป็นพระองค์เจ้า ต่อมาเมื่อพระชนมายุครบผนวชตามพระราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอัยยิกาธิราชโปรดเกล้าฯ จัดพิธีผนวชให้ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จออกในพิธีผนวชครั้งนี้ด้วยแม้จะมีอายุถึง 72 พรรษาแล้วก็ตาม ด้วยทรงเป็นหลานปู่พระองค์ใหญ่ในตอนนั้น เมื่อผนวชแล้วทรงเสด็จไปจำพรรษา ณ วัดราชสิทธาราม 
ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 26 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงสถาปนาขึ้นดำรงพระยศเจ้ากรม มีพระนามกรมว่า “กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” ในปี พ.ศ. 2356 ด้วยพระปรีชาสามารถในหลายแขนงวิชาไม่ว่าจะเป็นด้านพระพุทธศาสนา อักษรศาสตร์ รัฐประสาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ สถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านพาณิชยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ทำให้เป็นที่วางพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ให้กำกับราชการโดยดำรงตำแหน่งสำคัญ หลายตำแหน่ง เช่น กรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมตำรวจ และยังทรงนับหน้าที่พิจารณาพิพากษาความฎีกาแทนพระองค์อยู่เสมอ ทำให้ทรงรอบรู้ราชการต่าง ๆ ของแผ่นดินเป็นอย่างดี
ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต ทรงมิได้มอบพระราชสมบัติให้กับพระราชโอรสพระองค์ใด เจ้านายและขุนนาง ชั้นผู้ใหญ่ได้ประชุมปรึกษาหารือแล้วลงมติว่า ควรถวายพระราชสมบัติให้แก่ พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ สืบราชสมบัติแทน ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี พระนาว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความรู้ความชำนาญทางด้านการปกครองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยสนองพระเดชพระคุณในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาเป็นเวลานาน ครั้นเมื่อทรงขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านพ่าง ๆ ที่นำความเจริญมาสู่ประเทศชาติเป็นเอนกอนันต์ 

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิมาน องค์ข้างตะวันตก เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 สิริพระชนมายุได้ 63 พรรษา 2 วัน รวมเวลาที่ทรงครองอยู่ในสิริราชสมบัติเป็นเวลา 26 ปี 8 เดือน

ที่มา : ประวัติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

วีดีโอประวัติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ยอดกวีเอกของไทย (พระสุนทรดวหาร (ภู่))


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปพระสุนทรโวหาร (ภู่)

พระสุนทรโวหาร (ภู่)
(พ.ศ. ๒๓๒๙-๒๓๙๘)

พระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือ สุนทรภู่ กวีเอกของไทย เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สุนทรภู่เป็นกวีผู้มีชื่อเสียงและรุ่งเรือนมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแต่ชีวิตของท่านต้องมาตกต่ำในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงนี้ท่านได้ออกบวชและได้แต่งนิราศไว้หลายเรื่องท่านกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้เป็นพระสุนทรโวหาร เจ้ากรมพระอาลักษณ์
ฝ่ายพระราชวังบวร ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวและถึงแก่กรรมในสมัยนี้
วรรณกรรมของสุนทรภู่มีอยู่มากมาย เช่น พระอภัยมณี ลักษณ์วงค์ โคบุตร สิงหไกรภพ กาพย์พระไชยสุริยา สวัสดิรักษา คำกลอน เพลงยาวถวายโอวาท เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศภูเขาทอง นิราศวัดเจ้าฟ้า นิราศเมืองสุพรรณ นิราศพระประธม นิราศเมืองเพชร นิราศอิเหนารำพันพิลาป ( แต่งในเชิงบันทึกอัตชีวประวัต )

ประวัติบุคคลสำคัญในท้องถิ่น
      ประเทศไทยเราสามารถดำรงรักษาความเป็นเอกราชและความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้  เป็นเพราะบรรพบุรุษของไทยช่วยกันปกป้องทำนุบำรุง  และร่วมกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติจนทัดเทียมนานาอารยธรรม  ทำให้คนไทยได้อยู่ในประเทศของเราได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข  บุคคลสำคัญในท้องถิ่นที่สำคัญมีดังนี้

พระสุนทรโวหาร (ภู่)
          พระสุนทรโวหาร (ภู่)  ซึ่งคนทั้งหลายมักเรียกกันว่า "สุนทรภู่"  เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศง 2324  ในสมัยรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์
          สุนทรภู่  มีนามเดิมว่า  ภู่  บิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ  ในเขตอำเภอแกลง  จังหวัดระยอง  บิดากลับไปบวชอยู่ที่เมืองแกลงเป็นพระครูธรรมรังสี  เจ้าคณะเมืองแกลง  ฝ่ายมารดาเป็นนางนมพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง  ดังนั้นสุนทรภู่จึงได้อยู่ที่พระราชวังหลังกับมารดาและได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก  จึงทำให้สุนทรภู่ได้รับการศึกษาอบรมให้รู้จักขนบธรรมเนียมของราชสำนักเป็นอย่างดี
          เมื่อโตขึ้นสุนทรภู่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนที่วัดชีปะขาว (ปัจจุบัน  คือ  วัดศรีสุดาราม)  สุนทรภู่  มีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนมาตั้งแต่เด็กและสามารถแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอนได้อย่างไพเราะ  สละสลวย  แต่เนื่องจากเป็นคนเจ้าชู้และชอบดื่มสุรา  ชีวิตของท่านจึงมักประสบปัญหาต่าง ๆ อยู่เนื่อง ๆ
          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  พระองค์ทรงสนพระทัยให้ความสนับสนุนนักปราชญ์และกวี  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รับสุนทรภู่มารับราชการเป็นอาลักษณ์  สุนทรภู่ได้ทำความชอบในหน้าที่ด้วยการแก้บทกลอนหน้าพระที่นั่งจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยหลายครั้ง  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น  ขุนสุนทรโวหารในกรมพระอาลักษณ์
          ต่อมาในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  โปรดให้สุนทรภู่เป็นครูสอนหนังสือถวายพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอาภรณ์
          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  สุนทรภู่ต้องตกยากไม่มีเจ้านายองค์ใดอุปถัมภ์  จึงตัดสินใจออกบวช  ด้วยเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารถพระสงฆ์มาก  ถ้าบวชเป็นพระใครจะอุปถัมภ์ก็เห็นจะไม่ทรงติเตียน  ขณะนั้นสุนทรภู่อายุได้ 41 ปี  แรกบวชอยู่ที่วัดราชบูรณะอยู่ได้ 3 พรรษา  มีเหตุทะเลาะเกิดขึ้น  สุนทรภู่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากวัดราษชบูรณะ  สุนทรภู่จึงออกจากวัดราชบูรณะไปอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม  ไม่ช้าก็ย้ายไปอยู่วัดเทพธิดาราม  แล้วจึงย้ายมาอยู่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  รวมเวลาที่สุนทรภู่บวชอยู่ราว 7 พรรษา  ก็ลาสิกขา
          สุนทรภู่เข้ารับราชการกับพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ  แต่ไม่นานพระองค์เจ้าลักขณานุคุณก็สิ้นพระชนม์  ทำให้สุนทรภู่ต้องตกยากอีกครั้งหนึ่ง  ต้องลงลอยเรือเที่ยวจอดอยู่ตามสวน  หาเลี้ยงชีพด้วยรับจ้างและแต่งพระอภัยมณีขายทำการค้ารายในเรือเล็ก ๆ น้อย ๆ
          หนังสือที่สุนทรภู่แต่งเมื่อตอนตกยากครั้งนี้มีหลายเรื่อง  ได้แก่  นิราศพระแท่นดงรัก  สุภาษิตสอนหญิง  และนิทานคำสอนเรื่องลักษณวงศ์  ช่วยกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  คือ  พระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สุนทรภู่ไปอยู่ที่พระราชวังเดิม  ซึ่งเป็นที่เสด็จประทับในสมัยานั้น  ต่อมากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพสิ้นพระชนม์  สุนทรภู่จึงได้พึ่งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียว
          ในสมัยรัชกาลที่ 4  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้โปรดให้ความอุปถัมภ์  สุนทรภู่จังได้กลับมารับราชการตามเติมและได้เลื่อนตำแหน่งสุนทรภู่ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2392 รวมอายุได้ 69 ปี
          สุนทรภู่  เป็นจินตกวีเอกของไทย  บทกลอนของท่านมีกระบวนกลอนไพเราะสละสลวยอ่านเข้าใจง่าย  และสำนวนกระบวนความประทับใจคนทุกระดับ  ผลงานของสุนทรภู่มีมากมายหลายประเภท  ได้แก่  นิราศ  บทละคร  นิทาน  สุภาษิต  บทเสภา  บทเห่กล่อม  สุนทรภู่เป็นผู้ริเริ่มแต่งกลอนโดยมีการสัมผัสใน  ทำให้กลอนมีความไพเราะขึ้น  จนเป็นแบบอย่างการแต่งกลอนในยุคต่อ ๆ มา  ผลงานาที่ท่านสร้างไว้แยกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้  ดังนี้
          1)  ประเภทนิราศ  ได้แก่  นิราศเมืองแกลง  นิราศภูเขาทอง  นิราศพระบาท  นิราศพระแท่นดงรัง  นิราศพระประถม  นิราศเมืองสุพรรณ  นิราศวัดเจ้าฟ้า  นิราศอิเหนา  นิราศเมืองเพชรบุรี
          2)  ประเภทบทละคร  ได้แก่  อภัยนุราช
          3)  ประเภทนิทาน  ได้แก่  พระอภัยมณี  โคบุตร  พระไชยสุริยา  ลักษณวงศ์  สิงหไกรภพ
          4)  ประเภทสุภาษิต  ได้แก่  สวัสดิรักษา  สุภาษิตสอนหญิง  เพลงยาวถวายโอวาท
          5)  ประเภทบทเสภา  ได้แก่  บทเสภาเรื่อง  ขุนช้างขุนแผน  ตอนกำเนิดพลายงาม
          6)  ประเภทบทเห่กล่อม  ได้แก่  เห่เรื่องพระอภัยมณี  แห่เรื่องโคบุตร  เห่เรื่องกากี  เห่เรื่องจับระบำ
          ผลงานการประพันธ์ของสุนทรภู่  เป็นผลงานทรงคุณค่า  ยากที่จะหากวีใดเสมอเหมือน  นอกจากมีคุณค่าทางวรรณคดีแล้ว  ยังมีข้อคิดและคติสอนใจ  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี

          สุนทรภู่ได้รับยกย่องเป็น  กวีเอกในสมัยรัตนโกสินทร์  และในปี พ.ศ. 2529  องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)  ได้ประกาศเกียรติคุณท่านให้เป็น  กวีเอกของโลก
ที่มา : ประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่)

วีดีโอประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่)

ยอดกวีเอกของไทย (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗)

พระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นขุนกวีและสนับสนุนการกวีเป็นพิเศษ
บทพระราชนิพนธ์ ได้แก่ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนบางตอน บทละครนอกเรื่องอิเหนา บทละครเรื่องรามเกียรติ์บางตอนบทละครนอกเรื่องไชยเชษฐ์ คาวี ไกรทอง สังข์ทอง และมณีพิชัย กาพย์ ได้แก่ กาพย์เห่เรือ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน บทพากย์ รามเกียรติ์ ตอน พรหมาสตร์นาคบาศ นางลอย และเอราวัณ
พระราชนิพนธ์ประเภทบทละครในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกล่าวได้ว่าสมบูรณ์ทั้งบทละครและกระบวนการรำถือเป็นแบบอย่างของบทละครรำตราบจนบัดนี้ ส่วนกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เป็นวรรณคดีทรงคุณค่าในแง่วรรณศิลป์และให้ความรู้ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงาม เพราะกวีใช้การชมอาหารเป็นสื่อแสดงความรัก อารมณ์สะเทือนใจ


ประวัติของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงประสูติเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 7 คํ่า เดือน 3 ปีกุน มีพระนามเดิมว่า "ฉิม" พระองค์ทรงเป็นพระบรมราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกรับัตรเมืองราชบุรี พระบิดาได้ให้เข้าศึกษากับสมเด็จพระวันรัต ( ทองอยู่ ) ณ วัดบางหว้าใหญ่ พระองค์ทรงมีพระชายาเท่าที่ปรากฎ
1. กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครมเหสี
2. กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระสนมเอก ขณะขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2352 มีพระชนมายุได้ 42 พรรษา

พระราชกรณียกิจที่สําคัญ

พ.ศ. 2317 ขณะที่เพิ่งมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา ได้ติดตามไปสงครามเชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งที่บิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นครจําปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ 11 พรรษา
พ.ศ. 2322 พระราชบิดาไปราชการสงครามกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ติดตามไป
พ.ศ. 2323 พระชนมายุ 13 พรรษา ได้เข้าเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่ )
พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับพระบิดา
พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษกแล้วได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร"
พ.ศ. 2329 พระชนมายุ 19 พรรษา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามตําบลลาดหญ้า และทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
พ.ศ. 2330 ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามที่ตําบลท่าดินแดง และตีเมืองทวาย
พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่อุปสมบทในวัดนี้ เสด็จไปจําพรรษา เมื่อครบสามเดือน ณ วัดสมอราย ปัจจุบันคือวัดราชาธิราช ครั้นทรงลาผนวชในปีนั้น ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในพระพี่นางเธอ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์
พ.ศ. 2336 โดยเสด็จพระราชบิดาไปตีเมืองทวาย ครั้งที่ 2

พ.ศ. 2349 ( วันอาทิตย์ เดือน 8 ขึ้น 7 คํ่า ปีขาล ) ทรงพระชนมายุได้ 40 พรรษาได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งดํารงตําแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นแทน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ที่ได้สวรรคตแล้วเมื่อ พ.ศ. 2346
ที่มา : ประวัติของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

วีดีโอประวัติของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย



ยอดกวีเอกของไทย (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) ที่มา : รูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอ...